จะทำยังไงดีถ้าเราไม่ชอบอ่านหนังสือ เพราะทุกวันนี้เต็มไปด้วยสื่อทางเทคโนโลยี ของข้อมูลข่าวสารทางอิเลคโทรนิคส์ และการอ่านหนังสือถูกพัฒนาไปในรูปแบบของอีบุ๊ค(E-BOOK) และได้พัฒนาเป็นหนังสืออีเลคโทรนิคส์แบบพกพาเหมือนโทรศัพท์มือถือ(Kindle) น้องๆเยาวชน, คนเฒ่า, คนแก่, และ วัยกลางคน ต้องหมั่นอ่านหนังสือครับ เพราะช่วยให้สมองเราตื่นตัวตลอดเวลา ในโลกของหนังสือ ให้ความรู้ได้ทุกด้าน และ เป็นข้อเท็จจริง เราสามารถทำตามได้จริงตามหนังสืออย่างถูกต้อง ตามที่หนังสือแนะนำ แต่เพราะว่าคนเราไม่ชอบอ่านหนังสือ เป็นเหตุปัจจัยจากสื่ออื่นๆ เช่น ทีวี,เกมคอมพิวเตอร์,อินเทอร์เน็ต เพราะการเสพสื่อเหล่านี้เเน้นไปด้านความบันเทิงมากกว่า โดยเฉพาะเกมส์คอมพิวเตอร์ น้องๆแต่ละคนที่ชอบเล่นซ้ำๆกันทุกวัน ยิ่งกระตุ้นให้สมองรับรู้ซ้ำซากเรื่องเดิมๆ แต่การเรียนรู้เชิงวิชาการจากโรงเรียนและมหาลัย โรงเรียนและมหาลัยเพียงปูพื้นฐานที่เป็นระดับของการเรียนรู้ของเราเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญเราต้องต่อยอดของเราเอง จากตำรานอกห้องเรียน ขอยกตัวอย่างการอ่านตำราในเรื่องเดียวกัน บางเล่มเขียนตำราเรื่องเดียวกัน แต่อธิบายรายละเอียดในเนื้อหาเดียวกันไม่เหมือนกัน ดังนั้นถ้าเราอ่านตำราเล่มนี้ผู้เขียนชื่อนี้ แต่อธิบายแบบรวบรัดทำให้เราไม่เข้าใจเรื่องที่อ่าน แต่เราลองหาตำราเล่มอื่นคนเขียนคนละคน แต่เขียนเรื่องเดียวกัน จากเคยอ่านเล่มแรกคนเขียนคนแรก เรายังคลุมเครือในเรื่องที่เราสงสัย แต่ถ้าเราอ่านเล่มที่สองเรื่องเดียวกับคนที่เขียนตำราคนละคนกับเล่มแรก ซึ่งเขาจะอธิบายรายละเอียดปลีกย่อยในเรื่องที่เราสงสัยอยู่จากตำราเล่มแรก ทำให้เราเข้าใจได้ในทันทีในเรื่องนั้น นี่่คือความแตกต่าง เราๆท่านๆลองสังเกตุตำราภาษาอังกฤษในบ้านเรา เขียนจากหลายบุคคลมาก ลองอ่านตำราประเภทไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ตำราบางเล่มอ่านแล้วไม่เข้าใจ เพราะอธิบายแบบรวบรัด เช่น is,am,are แปลว่าเป็น,อยู่,คือ จริงๆแล้ว is,am,are เป็นมากกว่าที่เราคิดเอีก ว่าเมื่อไหร่ is,am,are แปลว่า อยู่ เมื่อไหร่ is,am,are แปลว่า คือ และเมื่อไหร่ is,am,are แปลว่า เป็น แต่ถ้าหาตำราเล่มอื่นมาอ่านในเรื่องเดียวกันเราจึงรู้ว่าว่าศัพท์อังกฤษพื้นฐาน 3 คำนี้ แปลแต่ละเหตุการณ์ต่างกันครับ น้องๆที่เรียนภาษาอังกฤษแล้วไม่เข้าใจ ก็เพราะว่าตำราบ้านเราแต่ละเล่มสอนให้อ่านและเขียน เราลองมานึกถึงความเป็นจริงของการกำเนิดชีวิตมนุษย์เรานะครับว่า เวลาเราเกิดออกจากท้องแม่ตั้งแต่วินาทีแรก สิ่งที่เขาต้องเรียนรู้อันดับแรกคือ การฟัง โดยที่เราเกิดมาไม่ได้เรียนภาษาอะไรมาก่อนเลยแม้แต่สักนิดเดียว แต่เราฟังเสียงพูดคุยจากแม่อันดับแรกทุกๆวันจนเราพูดได้ เพราะอะไรหรือครับ เพราะสมองเรารับสื่อการฟังจนเป็นอัตโนมัติ จนถูกสั่งให้เปล่งเสียงจากที่เคยได้ยินทุกๆวัน จากแม่หรือสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ไม่เช่นนั้นเด็กไทยไปเกิดในอเมริกาและให้คนอเมริกาเลี้ยง เด็กพูดภาษาอังกฤษได้เลยไม่ใช่เพราะเป็นเพราะสัญชาติญาณหรือเชื้อชาติ ว่าเด็กไทยเกิดให้ต่างชาติเลี้ยงต้องพูดไทย เพราะสัญชาติญาณเป็นคนเชื้อชาติไทย เด็กอเมริกันหรืออังกฤษเกิดให้คนไทยเลี้ยง เด็กต่างชาติโตมาพูดไทยแน่นอนล้านเปอร์เซ็น เรามาเปลี่ยนแนวคิดการเรียนภาษาอังกฤษของคนไทยใหม่ ให้เปรียบเทียบเหมือนเด็กเกิดใหม่ เราต้องฝึกฟังให้มากที่สุด ไม่ว่าภาษาใดในโลกนี้ ถ้าฟังไม่ออก ฟังไม่รู้เรื่องแล้วจะพูดโต้ตอบได้อย่างไร แต่ถ้าให้ได้ผลเกินคาด ท่านต้องฟังแล้วดูคำที่เขาพูดตามไปด้วยจากหนังสือ ว่าคำนี้เจ้าของภาษาเขาพูดว่าอย่างไร ให้จำและสังเกตุคำไปเรื่อยๆ ยังไม่ต้องไปท่องศัพท์ ว่าคำนี้เขียนหรือสะกดอย่างไร ฟังและดูผ่านตาไปก่อน ทำซ้ำๆบ่อยๆ และที่สำคัญต้องอดทนและอย่าท้อถอย คุณเกลียดภาษาอังกฤษต้องเข้าหาภาษาอังกฤษ ยิ่งเกลียดยิ่งค้นคว้า หาหนังสือนอกห้องเรียนมาอ่า่น พยายามตั้งข้อสงสัยให้ตัวเราเอง ว่าทำไมต้องพูดอย่างนั้น และทำไมต้องเขียนอย่างนี่ แล้วคุณจะรักภาษาอังกฤษ และจะช่วยต่อยอดให้การเรียนอย่างอื่นง่ายขึ้น สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดสำหรับคนไทยที่อยากพูดและฟังภาษาอังกฤษให้ได้คือ ฝึกฟังให้ออกว่าคนที่พูดภาษาอังกฤษพูดว่าอะไร เมื่อเราฟังออก หรือขณะที่ฟังเราจะจินตนาการเห็นคำภาษาอังกฤษคำนั้นว่าเขียนอย่างไร ต้องฝึกฟังให้ออกจนชินหูเรา(คุ้นเคย) และผลสุดท้ายสมองของเราจะโต้ตอบออกมาอัตโนมัติอย่างน่าประหลาดใจมาก การเรียนเรียนภาษาอังกฤษต้องฟังให้ออกก่อนอันดับแรก จึงจะพูดภาษาอังกฤษได้ บางท่านอาจสงสัยว่าจะไปฟังที่ไหนในเมื่อไม่มีคนอังกฤษ เดี๋ยวนี้สื่อการเรียนตามร้านหนังสือ คู่มือจะมาพร้อมซีดี เลือกซื้อเป็นชุดพร้อมหนังสือและซีดี อย่าลืมเข้าไปเยี่ยมชมหรือสั่งซื้อหนังสือออนไลน์ ส่งให้ถึงบ้าน มีหนังสือทั้งโลก ขอให้โชคดี มีเงินมีทอง ดูเว็บและวีดีโอเพิ่ม>>
Books Store -หลากหลายหนังสือทั่วโลก ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษง่าย ๆ
